การตรวจเฝ้าระวังในClean Room

การตรวจเฝ้าระวังในห้องสะอาด Clean Room

1. การตรวจเฝ้าระวังการปนเปื้อนจากอนุภาคจุลินทรีย์       

2. การตรวจเฝ้าระวังการปนเปื้อนจากอนุภาคฝุ่นละออง    

3. การควบคุมความเร็วลมและการถ่ายเทอากาศ

4. การควบคุมความแตกต่างของความดันอากาศ 

5. การควบคุมอุณหภูมิ (Temperature Control)

6. การควบคุมความชื้น (Humidity  control)

7. การตรวจสอบคุณภาพอากาศ IAQ ในอาคาร

 
triobas-mini-cd.jpg
 

1 การตรวจเฝ้าระวังการปนเปื้อนจากอนุภาคจุลินทรีย์

ห้องสะอาด เช่น สถานที่ผลิตยาปราศจากเชื้อ จะต้องมีการรตรวจสอบหาเชื้อจุลินทรีย์ด้วยวิธีการวางจานเพาะเชื้อ (settle plates) การเก็บตัวอย่างเชื้อบริเวณพื้นผิว (surface sampling) การเก็บตัวอย่างจากอากาศ (Air sampling) หรือวิธีการอื่น ๆที่เหมาะสม  การตรวจสอบจะต้องมีการเก็บบันทึกไว้  ถ้าผลที่ได้รับเบี่ยงเบนไปจากเดิมจะต้องแก้ไขทันที

   1.1 การวางจานเพาะเชื้อ (settle plate)
วิธีการที่ใช้ตรวจเชื้อจุลินทรีย์  ในอากาศภายในห้องผลิตยาปราศจากเชื้ออย่างกว้างขวาง  โดยการวางจานเพาะเชื้อที่บรรจุอาหารเลี้ยงเชื้อให้ถูกกับอากาศ  ภายในห้องตามเวลาที่กำหนด  การกำหนดจุดวางจานเพาะเชื้อเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดวิกฤติที่มีการบรรจุยา  ควรวางอย่างน้อยห้องละ 2 อัน ใช้เวลา 30 นาที  วางตามจุดที่กำหนดไว้ในแผนผัง  หลังจากนั้นนำจานเพาะเชื้อไป incubate ที่อุณหภูมิที่เหมาะสม  นับจำนวนโคโลนีหาชนิดของเชื้อ และนำไปประเมินผลต่อไป

  1.2 การเก็บตัวอย่างจากอากาศ (Volumetric Air Sampling) เป็นวิธีการที่ใช้วัดจำนวนเชื้อ  ซึ่งไม่สามารถทำได้โดยวิธีวางจานเพาะเชื้อในบริเวณปราศจากเชื้อ  เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ Slit-to-agar , Impact sampler , Reuter Centrifugal sampler เครื่องมือเหล่านี้ใช้วัดปริมาณอากาศที่ตกกระทบบนผิวของอาหารเลี้ยงเชื้อ  หากอากาศมีการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์จะมีโคโลนีของเชื้อปรากฏอยู่บนพื้นผิวของอาหารเลี้ยงเชื้อดังกล่าวภายหลังการ incubate ที่อุณหภูมิและเวลาที่กำหนด นำผลที่ได้ไปประเมินคุณภาพของอากาศต่อไป  อัตราการเก็บตัวอย่าง และ ระดับการปนเปื้อนสูงสุดถูกกำหนดขึ้นโดยผู้ทำการทดสอบตามวิธีการของเครื่องมือที่ใช้ แต่องค์การ NASA  แนะนำไว้ว่าจำนวน เชื้อจุลินทรีย์ภายใต้บรรยากาศที่เป็น laminar air flow  ควรมีไม่เกิน 0.1 โคโลนี / ลบ.ฟุต (5 โคโลนี/ลบ.เมตร)

  1.3 สวอบ (swab)
เป็นวิธีการเก็บตัวอย่างเชื้อจุลินทรีย์บนพื้นผิวที่มีลักษณะโค้งนูน จนไม่สามารถใช้วิธี contact plateได้  การสวอบทำได้โดยจุ่มสวอบที่ทำให้ปราศจากเชื้อที่เหมาะสม แล้วนำไปจุ่มในอาหารเลี้ยงเชื้อนำสวอบเช็ดบนพื้นที่ต้องการทดสอบที่เวลาและอุณหภูมิที่กำหนดให้ ปกติ 370C, 24-48 ชม. การสวอบควร standardize วิธีการ เช่น ควรสวอบบนพื้นที่เท่า ๆ กัน (คือประมาณ 4 ตารางนิ้ว) เช็ดบริเวณทีสวอบแล้ว ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม ใช้สวอบในการเก็บตัวอย่างแยกกัน  สำหรับพื้นที่ต่างกันและประเมินผลแยกกัน  ตามพื้นที่  และวันที่หลังการ incubation ไม่ควรมีเชื้ออยู่เลยสำหรับพื้นที่สำคัญ ๆ

  1.4 จานสัมผัสเชื้อ Contact plates  (Rodac plates)
เป็นการเตรียมจากอาหารเลี้ยงเชื้อที่มีส่วนผสมของวุ้น (agar)ในลักษณะของอาหารเลี้ยงเชื้อที่นูนออกมาเหนือจานเพาะเชื้อเมื่อต้องการเก็บตัวอย่างเชื้อจุลินทรีย์  ให้เปิดฝาจานเพาะเชื้อซึ่งฆ่าเชื้อแล้วออก  แล้วกดอาหารเบา ๆ ไปบนพื้นผิวที่ต้องการทดสอบเชื้อ  ปิดฝาจานเพาะเชื้อนำไป incubate ตามเวลาและอุณหภูมิที่กำหนดให้ นับจำนวนเชื้อต่อหน่วยพื้นที่ 
เทคนิคนี้เหมาะสำหรับตรวจเชื้อบนพื้นผิวที่มีลักษณะเรียบและแบน  เช่น  เครื่องมือผลิต พื้น ฝาผนัง และตามถุงมือ  เสื้อผ้าของพนักงาน  การใช้จานสัมผัสเชื้อทดสอบเชื้อที่เครื่องแต่งตัวและถุงมือของพนักงานนั้นให้ทำหลังจากเลิกงานปกติแล้ว  โดยสุ่มตัวอย่างที่ข้อศอกเสื้อ  ปลายแขนเสื้อ และที่อื่น ๆ จุดต่าง ๆ  ที่สัมผัสกับจานเพาะเชื้อจะต้องเช็ดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม  เพื่อกันการตกค้างของอาหารเลี้ยงเชื้อ  ซึ่งจะทำให้เกิดการปนเปื้อนต่อไปได้ บ่งชี้ทุกจานเพาะเชื้อโดยแสดงถึงจุดที่ทำการสุ่มตัวอย่างอย่างชัดเจน นำจานเพาะเชื้อเข้า incubator  ถ้ามีเชื้อขึ้นจะต้องหาสาเหตุและแก้ไข เพื่อป้องกันหรือลดปริมาณการปนเปื้อนที่จะเกิดขึ้นอีกและจะต้องมีการบันทึกด้วย

   จำนวนโคโลนีที่มากที่สุด  จะต้องไม่เกิน 100 โคโลนีต่อตารางฟุต         

2 การตรวจเฝ้าระวังการปนเปื้อนจากอนุภาคฝุ่นละออง

   2.1 การตรวจแผ่นกรอง HEPA
โดยวิธีตรวจหาสาร DOP (DOP test for HEPA Filter) ประสิทธิภาพในการกรองอนุภาคซึ่งมีขนาดเล็ก 0.3 um. ได้อย่างน้อย 99.97 % เพื่อให้แน่ใจได้ว่า HEPA Filter ยังทำงานได้ดีไม่มีความเสียหาย (การรั่ว) เกิดขึ้นในระห่างการติดตั้งหรือการปฏิบัติงาน  การทดสอบ  filter ควรจะกระทำหลังจากมีการวัดความเร็วลม  และมีการปรับควมเร็วลมตามความจำเป็นจนเป็นผลที่ได้รับเป็นที่ยอมรับแล้ว


การทดสอบควรกระทำโดยผู้ที่มีความสามารถ และทดสอบโดยการพ่นไอของ DOP (Dioctyl Phhalate particle) ผ่านport ของแผ่นกรองเข้าไปด้านบนแล้วตรวจหารอยรั่วทางด้านล่างของแผ่นกรอง  โดยใช้ aerosol probe ถือ photometer probe ให้ห่างผิวหน้าแผ่นกรองประมาณ 1 นิ้ว scan probe ผ่านผิวหน้าแผ่นกรองทั้งกมดไปมาอย่างช้า ๆโดยมีอัตราความเร็วไม่มากกว่า 10 ฟุตต่อนาที ใช้ photometer probe ผ่านไปรอบด้านข้างของแผ่นกรองให้ทั่วผ่านไปตามรอยเชื่อมต่อระหว่างแผ่นกรองและกรอบ และ ผ่านไปตามจุดรอยเชื่อมอื่น ๆ  ในการติดตั้งซึ่งอาจทำให้เกิดรอยรั่วโดยลมผ่านออกมาได้โดยไม่ผ่านแผ่นกรอง

การรั่วของ HEPA Filter ที่ไม่สามารถยอมรับได้คือ 0.01 % ของระดับมาตรฐาน เมื่อมีรอยรั่วเกิดขึ้นแก้ไขได้ โดยใช้กาวซิลิดโคน อุดรอยรั่วเป็นบริเวณกว้าง 1-2 นิ้วจากจุดที่รั่ว  และทำการตรวสอบรอยรั่วซ้ำเหมือนเดิม การอุดรอยรั่วต้องไม่มากกว่า 5% ของพื้นที่กรอง หรือลมที่ออกมายังบริเวณที่ทำงานไม่เปลี่ยนแปลง  ถ้ามีการอุดรอยรั่วเกิน 5 % ต้องทิ้งแผ่นกรองไป แล้วทำการติดตั้งแผ่นกรองชุดใหม่

  2.2 การตรวจอนุภาคในอากาศ (Airborne Particle Count Test)  
ตามที่อากาศที่จะผ่านเข้าไปในบริเวณสะอาด หรือ ปราศจากเชื้อนั้นจะต้องผ่านการกรองเสียก่อน  เพื่อป้องกันการปนเปื้อนที่จะมาจากอากาศ ซึ่งระดับความสะอาดขึ้นกับจำนวนของอนุภาค 0.5 um. หรือใหญ่กว่าต่อลูกบาศก์ฟุตของอากาศ  จำนวนอนุภาคในอากาศหาได้โดยการสุ่มตัวอย่างอากาศตามที่ และ เวลาทีกำหนด เพื่อให้มั่นใจว่าในสถานที่ที่ต้องการความสะอาดสูง ๆ (critical work location) จะมีอนุภาคไม่เกินจำนวนที่กำหนดไว้ เช่น ไม่เกิน 100 อนุภาคต่อลูกบาศก์ฟุตของอนุภาคขนาด 0.5 um หรือใหญ่กว่าอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบคือ light scattering particle counter

วิธีทดสอบต้องทำโดยผู้ที่มีความสามารถและทำหลังจากผ่านการทดสอบรอยรั่วและความเร็วลมของHEPA Filter เรียบร้อยแล้ว เริ่มเราต้องทดสอบห้องในสภาวะที่ไม่มีการทำงานทั้งของบุคลากรและเครื่องจักร โดยใช้เครื่องนับอนุภาค  นับจำนวนของอนุภาคที่มีขนา 0.5 um. หรือใหญ่กว่า  ในจุดที่สูง 40 นิ้ว จากจุดศูนย์กลางของแต่ละ grid ถ้าการนับอนุภาคได้น้อยกว่า 50 ต่อลูกบาศก์ฟุตของอากาศให้นับซ้ำในตำแหน่งเดิมอีก 4 ครั้ง

หลังจากทำการทดสอบรอยแรกแล้ว  ถ้า HEPA air filtration module ทำงานอยู่ในช่วงที่กำหนดให้ทดสอบซ้ำ โดยให้มีบุคลากรและเครื่องจักรทำงานตามปกติ  ถ้าช่วงใดมีการเบี่ยงเบนไปไปจาก่ายอมรับได้ต้องทดสอบส่วนต่าง ๆ  ของระบบ ทำการซ่อม หรือ ปรับจนกระทั่งได้สภาวะที่ต้องการ
 
สมรรถภาพของะบบอากาศถือว่าผ่านการตรวจสอบความถูกต้องได้ ต่อเมื่อผลของการทดสอบ3ครั้งติดต่อกันอยู่ในช่วงที่กำหนด
 

3 การควบคุมความเร็วลมและการถ่ายเทอากาศ
 
ห้องสะอาดเป็นห้องที่จัดสร้างขึ้นมาให้ได้ระดับอากาศที่สมดุลย์  และสามารถจ่ายอากาศจำนวนเพียงดพ  เพื่อให้ได้ความเร็วลมอย่างน้อย 90 ฟุตต่อนาที  โดยวัดใต้ HEPA Filter 6 นิ้ว  อุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบความเร็วของอากาศหรือลมที่ผ่านแผ่นกรอง คือ anemometer
การทดสอบนี้ทำโดยบุคลากรที่ยอมรับให้ทำการทดสอบในทุกห้องที่มี HEPA Filter  ติดตั้งอยู่  ต้องจำกัดจำนวนของพนักงานที่อยู่ในห้องในขณะไม่ได้ทำงานให้มีจำนวนน้อยที่สุด  การวัดต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 15 วินาที ผลการวัดความเร็วลมควรจะสูงกว่า 90 ฟุตต่อนาที  และไม่มากกว่า 150 ฟุตต่อนาที ในจุดที่ห่างจาก HEPA Filter ระยะ 6 นิ้ว
อ้างอิงตารางการจัดระดับความสะอาดของอากาศจาก Federal Standard 209E         
อ้างอิงตารางจำนวนและขนาดอนุภาคของห้องสะอาด
ความเร็วลมของLaminar air flowแนวราบ(horizontal flow) 0.45 ±0.1m/s ส่วนความเร็วลมของLaminar air flowแนวดิ่ง (vertical flow) 0.30 ±0.05m/s

4 การควบคุมความแตกต่างของความดันอากาศ

อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบคือ  Manometer  ซึ่งมีขีดอ่านขนาด 0.01 นิ้วน้ำ  เพื่อใช้ดูความสามารถของระบบควบคุมความดันว่าสามารถทำให้ระดับความดันอากาศได้ตามที่กำหนดหรือไม่
ความแตกต่างของความดันอากาศในบริเวณผลิตและแอร์ล็อคควรมีอย่างเพียงพอเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของอนุภาคและเชื้อโรคต่าง ๆ  ความแตกต่างของความดันอากาศในแต่ละห้องที่มีระดับความสะอาดต่างกันควรจะต่างกันประมาณ 0.05 นิ้วน้ำ เมื่อประตูทุกบานปิดหมดและต้องเปิด HVAC (Heating ventilation and air-conditioning system) และระบบลามินาร์แอร์โฟลอย่างต่อเนื่องกัน

5 การควบคุมอุณหภูมิ (Temperature Control)

เพื่อให้สภาพการทำงานสะดวกสบาย  จึงต้องมีการควบคุมอุณหภูมิภายในห้องปกติจะปรับให้อุณหภูมิอยู่ที่ 720F±10%(220C ±10% )  อาจจะต้องลดอุณหภูมิให้ต่ำกว่านี้  ถ้าใช้เครื่องแต่งตัวพิเศษ
การควบคุมอุณหภูมิในห้องปฏิบัติการจะต้องเกี่ยวข้องกับ heating, ventilation และ air condition system (HVAC)  ในห้องทำงานซึ่งมีตู้ฆ่าเชื้อ  หรือตู้อบไฟฟ้าติดตั้งอยู่  ซึ่งจะเพิ่มความร้อนในห้องได้  ถ้าออกแบบระบบอากาศไม่พอเหมาะนอกจากจะทำให้บุคลากรที่ทำงานในห้องอึดอัดไม่สบายแล้ว  ยังทำให้เกิดการปนเปื้อนสูง อันเนื่องมาจากเหงื่อของบุคลกรได้ ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบอณหภูมิได้แก่ Dry bulb thermometer, Thermoanemometer หรือ  Thermocouple และ Recorder
การตรวจสอบนั้นควรเปิด HVAC ไว้ก่อนอย่างน้อย 24  ชั่วโมง  และแสงสว่างต่าง ๆ จะต้องเปิดไว้ขณะที่ทำการตรวจสอบ  วัดและบันทึกอุณหภูมิแต่ละห้อง การตรวจสอบนั้ควรกระทำทั้งในขณะที่ปฏิบัติงานอยู่และไม่มีการปฏิบัติงาน ค่าที่ยอมรับควรจะอยู่ที่720F ±(220 C ±) ตลอดเวลา

6 การควบคุมความชื้น (Humidity  control)

ระดับความชื้นของห้องจะต้องถูกควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดไว้โดยทั่วไปในการผลิตยาปราศจากเชื้อความชื้นสัมพัทธ์จะอยู่ระหว่าง 45%-55% แต่มีบางผลิตภัณฑ์ที่ต้องควบคุม  ให้ความชื้นสัมพัทธ์อยู่ระหว่าง15%-30 % อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบได้แก่ Dry bulb และ Wet bulb thermometer และ automatic humidity recorder ก่อนที่จะทำการตรวจวัดจะต้องเดินเครื่องก่อนอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ทำการตรวจวัดcละบันทึกผลทั้งในขณะทีไม่มีการปฏิบัติงานและขณะที่มีการปฏิบัติงานทุก ๆห้อง  แสดงว่าระบบการทำงานของอากาศที่ควบคุมความชื้นที่เป็นที่ยอมรับได้

7 การตรวจสอบคุณภาพอากาศ IAQ ในอาคาร

มีการตรวจนับจำนวนรวมจุลชีพ (แบตทีเรีย ราและยีสต์) และ ตรวจระดับสารเคมีในอากาศ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide (CO2), ก๊าซคาร์บอนมอนน๊อกไซด์ Carbon Monoxide (CO), ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ Nitrogen Dioxide (NO2), ก๊าซฟอร์มาลดีไฮด์ Formaldehyde (HCHO)


Visitors: 150,817